24.6.09

กำลังใจ...ให้คนท้อแท้...

ถ้าท้อเป็นเพียงถ่าน ถ้าผ่านจึงเป็นเพชร

เพชรมีค่ามากกว่าถ่านหลายล้านเท่า

ทั้งๆ ที่เพชรเป็นธาตุคาร์บอนเหมือนกัน

ไม้ผ่านการอบการเผา ไม่นานก็กลายเป็นถ่าน

แต่เพชรผ่านความร้อน ไม่ต่ำกว่า ห้าพัน องศาฟาเรนไฮต์

ได้รับความกดดันมากกว่า หนึ่งล้านปอนด์ต่อตารางนิ้ว

ด้วยระยะเวลาอันยาวนาน จนกระทั่งกลายเป็นเพชร

เพชรที่เป็นเครื่องประดับอันงดงาม

พร้อมๆ กับเป็นของที่มีความแข็งมากที่สุดในโลก

ถ้าท่านกำลังได้รับความกดดันอยู่ จงอดทน และอดทน

ถ้าท่านกำลังถูกเคี่ยวถูกสับ ให้คิดว่าเพียงแค่นี้

จะทำให้เป้าหมายสั่นคลอนได้หรือ

ถ้าสถานการณ์กำลังบีบคั้น แสดงว่าชัยชนะกำลังอยู่ข้างหน้า

ถ้ายังถูกโหมกระหน่ำอยู่อีก ให้รู้ตัวว่า

ท่านกำลังใกล้จะเป็นเพชรเต็มที่แล้ว

ในสถานการณ์เช่นนี้ หากหยุดคิดอย่างมีสติ

ย่อมจะเกิดปัญญาพบหนทางสว่างได้เสมอ

จงมุ่งมั่นอาจหาญสง่างาม เสมือนดั่งเพชร

แม้เพชรจะตกอยู่ในสภาวะทุกข์ยาก อ้างว้าง โดดเดี่ยว

แต่เพราะเพชรไม่เคยย่อท้อต่อสู้เรื่อยไป

ให้ถือว่าทุกอย่างเป็นบทเรียน และบทฝึกตัวเองเสมอ

จนกาลเวลาผ่านไป

เพชรจึงภูมิใจในตัวของมันเอง และด้วยความอดทนถึงที่สุดนี่เอง

เพชรจึงเป็นอัญมณีอันล้ำค่า ควรแก่การประดับมงกุฏของพระราชา

จากอดีต ปัจจุบัน ตลอดไปในอนาคต...



"เพชรแท้ย่อไม่กลัวการพิสูจน์"



บทความโดย วีระยุทธ เล็กตระกู่ล

ดิฉันได้อ่านบทความนี้เมื่อนานมาแล้ว แต่หลังจากอ่านมัน

ก็ไม่เคยทิ้งมันไปตามยถากรรม

คงเก็บมันไว้และนำมาอ่านทุกครั้งเพื่อเป็นกำลังใจให้ตัวเอง

ตลอดเวลาที่ใช้ชีวิตไม่ว่าจะเป็นในบ้านเกิดเมืองนอน

หรือส่วนไหนของโลก ถ้าเรารู้จักใช้สมองอันน้อยนิดในการจดจำ

สิ่งดีๆ ที่ผ่านเข้ามา และนำมันไปใช้ในทางที่ถูกที่ควร

หรือแม้แต่ใช้เป็นคติสอนใจตัวเอง มันคงจะทำให้ชิ้นส่วนเล็กๆ

ชิ้นหนึ่งบนโลกใบนี้มีความสุขตามอัตตภาพของมัน

มีบทความอีกมากมาย คำสอนอีกเยอะแยะ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

บทเรียนที่ถูกต้อง บทเรียนของความผิดพลาด เราพบเห็นมัน

แต่จะมีสักกี่คนที่นำมันมาเป็นบทสอนตัวเอง และผู้อื่น....

ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดที่จะให้ตัวเราเองได้ก็คือ การจำและนำไปใช้สอนตัวเอง

เพื่อความสุขของตัวเอง แล้วสิ่งนั้นมันจะเผื่อแผ่ไปถึงคนข้างเคียง

ไม่มาก ก็น้อย....หรือคุณว่าไม่จริง

24.5.09

งานบุญ...งานบวช...





















ชื่อจริง.....ด.ช. ฐากูร บุญมา
ชื่อเล่น.... ลูกหนู
วันเกิด..... 15 มิถุนายน 2531
น้ำหนักแรกเกิด 3500 กรัม
ส่วนสูงแรกเกิด 51 เซ็นติเมตร

ลูก...เป็นความสุขที่เกิดขึ้นหลังจากคน 2 คนได้ใช้ชีวิตร่วมกัน
ไม่ว่าจะเป็นคนที่เท่าไหร่......
ลูกหนูเป็นลูกคนแรก ฉะนั้นไม่ต้องบอกถึงความตื่นเต้น....
เมื่อรู้ว่าแม่มีเด็กคนนึงดิ้นอยู่ในท้อง...มันเป็นความมหัศจรรย์จริงๆ
แม่รอเวลาที่จะได้เห็นหน้าลูก....
....................................................
เมื่อเห็นหน้าลูกครั้งแรก...แม่คิดแค่ว่า...ลูกต้องเป็นคนดี
ลูกแม่ต้องน่ารัก..ลูกแม่ต้องเก่ง..อิอิ ความหวังขั้นพื้นฐาน
ที่ไม่ว่าใครก็ต้องคิดอย่างนั้น
แล้วทุกอย่างก็เป็นอย่างที่แม่คิดไว้...


ตลอดเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ลูกไม่เคยทำให้แม่ผิดหวัง....


เมื่อยามเป็นทารก...ลูกแม่กินนมเก่ง...เลยอ้วนท้วนสมบูรณ์
ถึงขนาดน้ำหนักทะลุกราฟ จนต้องปรึกษาคุณหมอ...
แต่หมอก็บอกว่าไม่ต้องตกใจ เพราะกินนมแม่ไม่เป็นโรคอ้วนแน่ๆ 5555+
ลูกก็เลยได้กินอย่างอิ่มหมีพีมันต่อไป....
พัฒนาการของลูกหนูมีอย่างต่อเนื่องตามวัยอย่างถูกต้อง
แม่ไม่ต้องเปิดตำราใดๆ ทั้งสิ้น เพราะย่าของลูกใช้ตำราแบบโบราณตลอด
สิ่งเดียวที่แม่ไม่เคยห่วงเลย คือลูกมีสุขภาพที่ดีมาก...

ยามศึกษาเล่าเรียน แม้ลูกแม่จะเรียนไม่เก่ง..แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่แม่ซีเรียส
เพราะแม่ไม่เคยคิดว่า การเรียนเก่งจะทำให้ดำเนินชีวิตประสบผลสำเร็จเสมอไป
แม่พบสิ่งหนึ่งที่ลูกมีในตัว คือ..ลูกเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดีมาก
ไม่ว่าจะเป็นใครลูกสามารถพูดคุยและทำให้คนรักลูกแม่ได้อย่างไม่ยาก
ลูกชอบทำกิจกรรมมากกว่าการอ่านหนังสือ
แม่จึงคิดที่จะส่งเสริมให้ลูกทำกิจกรรม...
เมื่อลูกได้เข้าเรียนในโรงเรียนราชวินิตประถม...
สิ่งแรกที่แม่ได้รับรู้คือ โรงเรียนนี้มีการสอนนาฏศิลป์ แต่ลูกเป็นชาย
แม่จึงให้เรียนโขน..น่าจะดีสำหรับลูก เพราะอย่างน้อยก็คงเป็นกิจกรรม
ยามศึกษาเล่าเรียนที่ลูกจะได้ทำนอกเหนือจากหนังสือที่ลูกไม่ค่อยจะชอบมันนัก 555+
แม่ภูมิใจนะที่ลูกได้แต่งชุดโขน เพื่อไปแสดงกับโรงเรียนตามที่ต่างๆ



















เมื่อยามว่างและมีวันหยุด...แม่ก็พาลูกไปเที่ยวพร้อมกับน้องชายตัวน้อย
เมื่อลูกเข้าโรงภาพยนตร์ครั้งแรก ลูกตลกมากรู้ไม๊..
แม่พาไปดู จูลาสสิคพาร์ก ภาคแรก...ลูกนั่งอยู่บนตักแม่
ตอนนั้นลูกหนูเพิ่ง 5 ขวบ ฉากแรกๆ ที่ลูกทำให้แม่และคนข้างเคียงขำมากคือ
ฉากที่เค้าให้อาหารไดโนเสาร์ที่มองไม่เห็นตัว มีแต่เสียงที่ดังและน่ากลัว
ลูกมีเสียงสั่นเครือและหันมาถามแม่ว่า...เมื่อไหร่จากลับบ้านอ่ะ...
เล่นเอาคนนั่งข้างๆ ขำทีเดียว...แต่หลังจากนั้นไม่นาน ลูกก็สนุกกับ
เจ้าไดโนเสาร์หลายๆ พันธุ์ ที่โลดแล่นอยู่ข้างหน้า....ลูกจะจำได้ไม๊น๊า....
หลายๆ สถานที่ที่ไม่ได้พาไป ลูกดูตื่นเต้นและอยากรู้ไปทุกอย่าง
ทำให้รู้ว่าที่จริงลูกแม่ก็เป็นคนฉลาดนะเนี่ย รู้จักสังเกตุ และใฝ่รู้


























เนื่องจากพ่อของลูกเป็นทหาร และบางครั้งเราจึงต้องไปค่ายทหารกัน
พ่อจึงมักจะพาไปดูการซ้อมของทหารแล้ววันที่ลูกรอคอยก็มาถึง
เมื่อโตพอที่จะถือปืนซ้อมได้ พ่อก็ไม่รีรอที่จะให้ลูกได้ลองถือและยิงมัน

ลูกสนุกกับมันอย่างที่สุด หลายๆ ครั้งที่มีวันหยุดลูกจะขอให้แม่พาไป...
หาพ่อนะแม่ 5555555+ แม้ว่ารู้ว่าวันศุกร์พ่อก็จะกลับ แต่ลูกก็จะไปหาพ่อที่ค่ายทหาร
อยากไปวิ่งเล่นใช่ไม๊ล่ะ...แต่ไม่เป็นไร แม่พาไปได้ ...
"พ่อ..ไม่ต้องเข้ากรุงเทพฯ นะ เพราะแม่จะไปหาเอง"
สิ่งที่เป็นผลพลอยได้ทุกครั้งคือ ขนมหม้อแกงเมืองเพชรที่ทำให้ลูกและแม่อ้วนขึ้น..อิอิ



































เวลาผ่านไป..ไวเหมือนโกหก...วิถีชีวิตเราต้องห่างกัน เมื่อแม่ไปอยู่ต่างประเทศ
ครั้งแรกที่กลับบ้านเมื่อผ่านไปได้ 2 ปี ลูกชายแม่โตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ทุกๆ ครั้งที่แม่กลับบ้านลูกชายทั้ง 2 เติบโตขึ้นเรื่อยๆ แม่ภูมิใจมากรู้มั้ยลูก
ตอนที่ลูกเปลี่ยนแปลงมากคือ เมื่อครั้งที่แม่กลับบ้านตอนลูกอายุ 18
ลูกไปรับแม่ที่สนามบิน แม้จนลูกมาถึงตัวและกอดแม่
แม่ยังจำลูกไม่ได้เลย 555555555+
ทำไมใบหน้ากลมๆ ของลูกหายไปไหนเนี่ย...
ลูกกลายเป็นชายหนุ่ม ไม่ใช่เจ้าตัวกลมๆ ของแม่ซะแล้ว แค่ปีเดียว
เปลี่ยนจากเด็กชาย กลายเป็นหนุ่มน้อยวัยต้นๆ ...เฮ้อ...
อีกไม่นานแม่คงต้องมีสถานะเป็น ย่า แน่ๆ 555+
















































แล้ววันที่ลูกบอกแม่ว่า ...แม่หนูจะบวชนะ...
โอ..สมัยนี้ยังมีเด็กชายคิดจะบวชด้วยหรอ..
เอาละเมื่อลูกจะบวชแม่ก็ดีใจ...มันเป็นกุศลของลูกเอง
แม่ก็ยินดีและอนุโมทนานะลูก....
ชีวิตลูกที่ผ่านมาจากวัยเยาว์ จนมาเป็นชายหนุ่ม...
ถือว่า 21 ปีที่ผ่านมาลูกเป็นคนเต็มคนแล้วนะลูก
ต่อไป...คือวิถีชีวิตที่ลูกต้องเลือกเดิน
แม่จะคอยติดตาม เป็นกำลังใจให้
อย่าลืมว่า ลูกจะมีแม่อยู่เบื้องหลัง และ เป็นคนที่รักลูกตลอดไปนะจ๊ะ











































































































































































21.5.09

พ่อ...ผู้จากไป...





















พ่อ...เปรียบ พระ ในบ้านอันร่มรื่น
พ่อ...เปรียบ ผืนแผ่นน้ำอันสดใส
พ่อ...เปรียบเช่นดวงตะวันสาดแสงไกล
พ่อผู้ให้ทุกสิ่งเป็นตัว...เรา...
ถึงวันนี้พ่อเหนื่อยและเมื่อยล้า
ได้เวลานิทราลูกจะเฝ้า
เดินตามรอยพ่อสอนแต่วัยเยาว์
แม้แสนเศร้า..แต่...รักพ่อ...สุดดวงใจ


ลูกชิด...



















.......................................

21 มกรา..11.00 น. เป็นเมืองไทยก็ 6 โมงเย็น ได้โทร.ไปสอบถามอาการพ่อ
หลังจากที่ได้คุยติดต่อกันมา 2 วันเนื่องจากพ่อ ไม่ยอมกินอะไรเลย....
หลานสาวบอกว่า "ตาไปแล้วเมื่อกี้" .... เป็นประโยคสั้นๆ ที่ทำให้น้ำตาไหล
โดยไม่รู้ตัว เพราะไม่คิดว่าจะเร็ว ยังสั่งให้พี่ต๋อยเข้ากรุงเทพฯ มาดูแลในตอนเช้า
แต่ตกเย็นพ่อก็จากไปอย่างสงบ...
ลูกหว้า..หลานรักเล่าให้ฟังว่า พ่อยอมกินข้าวเย็น ซึ่งทำให้ทุกคนในบ้านสบายใจ
หลังจากนั้นก็นอนหลับไปกับเก้าอี้นอนตัวประจำ พอได้เวลาเข้านอนพี่ติ๋วก็ปลุก
เพื่อจะพาไปอาบน้ำ...แต่...พ่อก็ไม่ยอมลืมตาพร้อมกับลมหายใจที่ไม่รินไหลออก
จากร่างกายเช่นกัน...

ทุกคนเศร้าโศก...นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกคนที่มีความผูกพันกัน แม้จะไม่ใช่
สายเลือด หากแต่ถ้าร่วมอยู่ในวงจรชีวิตแม้จะเป็นช่วงเวลาอันสั้นหรือยาวนานก็ตาม

แต่สำหรับลูกคนหนึ่ง ....
คำว่า เศร้า..คงไม่สามารถคลอบคลุมความรู้สึกที่มีต่อ....พ่อ..ได้
เรายินดีที่ได้ยินว่าพ่อจากไปอย่างสงบ ไม่ทุกข์ทรมาน คงเป็นเพราะพ่อเป็นคนดี
เราเสียใจที่ไม่มีโอกาสได้ปรนนิบัติพ่อในช่วงสุดท้ายของชีวิต
..................
ในชีวิตตั้งแต่จำความได้...
ครอบครัวไม่ใช่มีแค่ พ่อ..แม่..และลูกสาวทั้งสาม
พ่อเป็นหัวหน้าครอบครัวที่มีพี่น้องของภรรยามีส่วนร่วมในครอบครัวด้วย..
นี่คือครอบครัวแบบไทย...เป็นครอบครัวใหญ่..อบอุ่น มีพี่..มีน้อง..มีความเอื้ออาทร
ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน....
พ่อทำงานหนัก..แต่รายได้ทั้งหมดของพ่อ..มีแม่เป็นผู้ดูแล
พ่อเหมือนนกที่ออกไปหากินเพื่อทำรังให้ลูกอยู่อย่างมีความสุข
พ่อรักต้นไม้...นี่คือสิ่งที่เราได้เห็นได้รับรู้จากบริเวณบ้านที่เขียวขจี
แม่เคยบอกว่าในพี่น้อง 3 คน เราจะได้นิสัยพ่อมาเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นคนเรื่องมาก
ละเอียดถี่ถ้วนกับการทำอะไรสักอย่าง รักต้นไม้ พ่อคงฝันอยากทำสวน เพราะเมื่อ
มีโอกาสได้ซื้อผืนนาเล็กๆ ที่ดอนตูม จ.นครปฐม พ่อก็ไม่รอช้าที่จะย้ายไป
ปลูกกระต๊อบเล็กๆ เพื่อปรับที่ทาง ขุดบ่อเลี้ยงปลา ปลูกต้นไม้
พ่อกำลังจะสร้างรังอีกรัง...แต่คงเป็นรังที่พ่อรัก เพราะเวลานั้น พ่อไม่มีภาระ
ที่จะต้องหาเงินเพื่อเลี้ยงลูกๆ อีก พ่อทุ่มเทเวลาทั้งหมดในการปลูกต้นไม้
ไม่ว่าจะเป็นมะม่วง มะพร้าวน้ำหอม และพืชล้มลุกอื่นๆ แต่พ่อก็ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง
พ่อปลูกต้นไม้เพื่อลูกหลาน....เพราะไม่ว่าเวลาใดที่เราไปหาพ่อ...
ไม่มีสักครั้งที่จะไม่มีผลผลิตของพ่อกลับบ้าน...
ถ้าไม่มีแม้แต่กล้วยสักเครือ พ่อก็ยังมีกระเพรา พริก มะอึก มะเขือ และที่
เราไม่คาดคิด พ่อทำไม้กวาดทางมะพร้าวให้ลูกใช้....
" ก็ต้นมะพร้าวมันเยอะ " นี่คือคำพูดของพ่อที่บอกกับเรา
แม้แต่เมื่อพ่อแก่มากแล้ว พวกเราให้พ่อกลับมาอยู่กรุงเทพฯ..แต่พ่อก็ยังไม่
เคยหยุดนิ่ง พ่อตกแต่งต้นไม้ที่บ้าน ทำความสะอาดบริเวณบ้าน

" บ้าน " รังน้อยๆ ที่พ่อทำให้พวกเรา เฉพาะตัวบ้านกินเนื้อที่ถึง 35 ตรว.
เป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ที่พื้นบ้านชั้นบนเป็นไม้สักแผ่นใหญ่ๆ
แม้จะกินเวลามาถึงวันนี้เกือบ 60 ปี บ้านได้เปลี่ยนรูปทรงไปบ้าง
มันก็ยังเป็นบ้านที่พ่อให้พวกเราไว้...
สมัยเด็กๆ ด้วยความที่เป็นลูกคนเล็ก เราจะได้ใกล้ชิดพ่อมาก
ได้เล่น ได้พูดคุยใกล้ชิด แม้กระทั่งเติบใหญ่ เราก็ยังคงได้เล่น
ได้ใกล้ชิดพ่อกว่าพี่ๆ ได้พาพ่อไปเที่ยวทะเล ได้มีโอกาสทำให้พ่อมีความสุข
ถึงเวลานี้ไม่เคยเสียใจ..ไม่เคยผิดหวัง เพราะ..เราได้ใช้เวลาและโอกาส
ที่แม้จะไม่เต็มร้อย แต่เต็มใจให้กับพ่อของเรา
วันนี้แม้จะไม่ได้มีโอกาสใกล้ชิดพ่อในยามลมหายใจสุดท้ายของชีวิต
พ่อคงจะรู้ได้ว่า พ่อจะอยู่ในใจและในความรู้สึกของลูกคนนี้ตลอดเวลา


วันที่เห็นหน้าพ่อเป็นครั้งสุดท้าย....
ลูกภาวนาและขอบุญกุศลทั้งหมดที่ได้ทำในชีวิต...
อุทิศให้แก่พ่อผู้จากไป.....ให้พ่อได้อยู่ในภพภูมิที่มีความสุขสงบด้วยเทอญ....















































































...........................
แสงอาทิตย์สุดท้ายปลายขอบฟ้า
จะลับลาหลีกหายคล้ายกับฝัน
ช่างทอแสงแดงหม่นก่อนจากกัน
คล้ายบอกวันนี้ลาพาเศร้าใจ
แล้วกลับฟื้นคืนใหม่ในวันรุ่ง
ทอแสงรุ้งสลับสายลายเมฆใส
บางครั้งมีลมฝนชื่นฉ่ำใจ
วนเวียนไปทุกวันไม่เว้นวาย
เฉกเช่นแสงรังสีแห่งมนุษย์
เมื่อถึงจุดสุดท้ายแห่งแสงฉาย
เหลือไว้เพียงความดีประดับกาย
ฉากสุดท้ายให้นึกถึงก่อนขึ้นเมรุ
หากมีดีมากมายกว่าร้ายชั่ว
ทุกคนทั่วเขตคามต่างแลเห็น
ประพฤติตามรอยดีไม่ลำเค็ญ
เหมือนกับเป็นลมฝนชะโลมใจ......